ตัวละครหลัก
- เบิ้ม: หนุ่มชาวบ้านวัย 35 หัวหน้าทีมกีฬาแห่งบ้านบางบ๊อง ผู้ไม่เคยแพ้ในจินตนาการ
- หมิว: ครูพละสาวโรงเรียนประถมฯ ผู้เป็นผู้จัดการแข่งขันกีฬา “สี่ตำบลสัมพันธ์”
- ดุ๊ก: เพื่อนเบิ้มผู้คิดว่าการอบอุ่นร่างกายคือการกินข้าวเช้าให้เยอะ ๆ
- แว่น: เด็กเนิร์ดวัย 17 ที่แม่บังคับให้มา “ออกกำลังกายบ้างเถอะลูก!”
ตอนที่ 1: กีฬาสีไม่ได้มีแค่โรงเรียน
ทุกปี บ้านบางบ๊องจะมีงานแข่งกีฬา “สี่ตำบลสัมพันธ์” กับบ้านใกล้เคียงอีก 3 แห่ง ได้แก่ บ้านบางบื้อ บ้านหนองนอยด์ และบ้านคลองขนุน
โดยกีฬาไม่ได้จำกัดเฉพาะฟุตบอล วอลเลย์บอล หรือตะกร้อเท่านั้น
แต่ยังมีแข่ง เขย่งวิ่งกระโดดขาเดียว, ปิงปองไม้พาย, และ วิ่งผลัดโดยใช้ไม้กวาด
ปีนี้… เบิ้มประกาศตัวเป็น “ผู้จัดการทีม” พร้อมสโลแกนว่า
“บางบ๊องต้องได้เหรียญ! ถึงจะไม่มีเหรียญจริง ๆ ก็ตาม!”
เขาตระเวนชวนคนในหมู่บ้านมาฝึกซ้อม
- ป้าศรีที่เคยเป็นนักบาส (เมื่อ 40 ปีที่แล้ว)
- ลุงเคี้ยงที่มีฝีมือการโยนลูกเปตอง (แต่โยนใส่หมาเมื่อปีก่อน)
- และเด็กแว่นที่นั่งเล่นเกมตีป้อมตลอดวัน
เบิ้มตั้งทีมอย่างภาคภูมิใจ
“นี่แหละ… ดรีมทีมบ้านเรา!”
ดุ๊กหันไปถาม “มึงฝันรึเปล่าวะ?”

ตอนที่ 2: ซ้อมวันแรก = วันล้า
เบิ้มนัดทุกคนมาซ้อมที่ลานวัดตอนหกโมงเช้า
เด็กแว่นมาพร้อมนาฬิกา Smart Watch และน้ำมะพร้าว
ลุงเคี้ยงมาพร้อมเก้าอี้พับ “กูซ้อมดู ไม่ได้ซ้อมวิ่ง”
กิจกรรมแรก: วิ่งผลัดไม้กวาด
เบิ้มตะโกน “ให้ถือไม้กวาดแทนไม้ผลัดนะครับ! วิ่ง 100 เมตรแล้วส่งไม้!”
หมิวครูพละพยายามช่วยดูแล แต่ดูแล้วเหมือนเธอมาเฝ้าอนุบาลพิเศษ
เริ่มสตาร์ต
ดุ๊กวิ่งเหยาะ ๆ พร้อมตะโกนว่า “ไม้กวาดมันข่วนมือว้อย!”
เด็กแว่นโดนไม้กวาดฟาดหน้าเพราะส่งไม้ไม่ตรง
ป้าศรีวิ่งครึ่งทางแล้วตะโกน “ใครมีพัดลมมั่งลูก ยายจะวูบแล้ว!”
ผลคือ ทีมล้มระเนระนาดเหมือนขบวนแห่นาคตกหลุม
ตอนที่ 3: วันแข่งขัน (แห่งมหาวิปโยค)
สนามแข่งอยู่ที่โรงเรียนบ้านหนองนอยด์
มีธงชาติ (ทำจากผ้าขาวม้าติดไม้กวาด)
มีพิธีเปิด (โดยลุงกำนันที่พูดผิดตำบลอยู่ 3 ครั้ง)
และมีของรางวัลเป็น… “ถังน้ำใบใหญ่” กับ “ข้าวสาร 5 โล”
การแข่งขันที่ 1: ปิงปองไม้พาย
เบิ้มจับคู่กับแว่น แข่งกับทีมบ้านคลองขนุน
แว่นใส่แว่น VR มาด้วย บอกว่า “ผมใช้ช่วยวัดระยะ”
ผลคือ… เขาฟาดลูกพลาดจนไม้พายหลุดไปโดนกรรมการ
เบิ้มจ้องหน้าแว่น “มึงใส่ VR หรือใส่ ‘วิถีระเบิด’ วะ?”
การแข่งขันที่ 2: วิ่งขาเดียว
ป้าศรีเป็นตัวแทนวัยเก๋า
พอเริ่มวิ่ง เธอกระโดดได้สองทีแล้วล้มลงบนเบาะ
ลุกขึ้นมาเองไม่ได้ ต้องมีสามคนช่วยยกราวกับเป็นอุบัติเหตุบนฟุตบาท
หมิวพึมพำ “นี่มันกีฬาแนวตั้งรึแนวนอน?”

ตอนที่ 4: เมื่อบางบ๊องจะคว้าเหรียญ
รายการสุดท้ายคือ ฟุตบอล 5 คน
เบิ้มมองหน้าเพื่อนทั้งทีมแล้วพูด
“นี่แหละของจริง! ฟุตบอลคือศักดิ์ศรีของหมู่บ้าน!”
ทีมคู่แข่งคือนักเรียนมัธยมจากบ้านบางบื้อ ซึ่งมีเด็กสูง 180 ซม. 2 คน
เกมเริ่ม…
เบิ้มเตะบอลหลุดเข้าไปยิงประตู — แต่เป็นประตูตัวเอง
ดุ๊กพยายามเป็นกองหน้า แต่มัวแต่ตะโกนใส่ผู้ตัดสินว่า “เขาล้ำหน้า! เขาแฮนด์บอล!”
กรรมการตอบกลับ “นี่บอล 5 คนในลานอเนกประสงค์ ไม่มี VAR โว้ย!!”
ครึ่งหลังสกอร์ 5-0
เด็กแว่นเสนอ “เราลองแผน 1-1-2 เถอะครับ”
เบิ้มงง “มันแผนฟุตบอลเหรอ?”
แว่นบอก “ไม่ครับ… มันคือแผนเผ่นถ้าถูกยิงอีกลูก”
ตอนที่ 5: บางบ๊องไม่ได้ชนะ… แต่ฮาที่สุด
เมื่อการแข่งขันจบลง
บ้านบางบ๊องไม่ได้รางวัลเลยสักรายการ
แต่กลับกลายเป็นทีมที่ผู้ชมทั้งสนามปรบมือให้
เหตุผลคือ
- พวกเขาเล่นทุกชนิดกีฬาอย่าง “เต็มที่แม้ไร้ทักษะ”
- หัวเราะทุกครั้งที่พลาด
- และมีการเต้นเฉลิมฉลอง “ความแพ้อย่างภาคภูมิ”
เบิ้มขึ้นเวทีรับ “รางวัลทีมมีสปิริตสูงสุด”
พร้อมกล่าวคำว่า
“เราอาจไม่ชนะเหรียญ…
แต่เราชนะใจตัวเอง… และชนะใจคนที่นั่งดูเราแล้วขำจนปวดท้อง!”
บทส่งท้าย: กีฬาคือมิตรภาพ
หลังจากวันนั้น หมู่บ้านบางบ๊องมีคนสมัครเข้าชมรมกีฬามากขึ้น
- ป้าศรีเปิดคลาส “โยคะกลางลานวัด” ทุกวันจันทร์
- เด็กแว่นเลิกเล่นเกมไป 3 วัน (ก่อนจะกลับมาตีป้อมใหม่)
- และเบิ้ม… ตั้งเป้าปีหน้าจะพาทีมชนะ “การแข่งขันชักเย่อบนพื้นลื่น”
ทุกคนไม่รู้ว่าจะได้เหรียญหรือเปล่า
แต่สิ่งที่รู้แน่ ๆ คือ…
กีฬาอาจไม่ทำให้คุณรวย แต่ทำให้คุณฮาได้ทุกปี